กลยุทธ์การลงทุนแนะนำทยอยสะสมหุ้นขนาดใหญ่ที่อิงกับการฟื้นตัวแบบ K Shape ของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงที่ฟื้นตัวหลัง COVID-19 จนถึงปัจจุบัน(1Q22-3Q24) อาทิ กลุ่มพักแรม, การขนส่ง, การขายส่ง-ปลีก,  กิจกรรมด้านสุขภาพ,  กิจกรรมการบริการ, ศิลปะ-ความบันเทิง อาทิ CENTEL, MINT, ERW, BEM, SJWD, RCL, CPALL, CRC, CPAXT, BDMS, BH, ADVANC, TRUE, MAJOR, PLANB เป็นต้น

ปี 2565 คาด Real GDP ขยับขึ้นเป็น 10.69 ล้านล้านบาท +3.5%yoy (ต่ำสุดในเอเซียและยังไม่ฟื้นถึงก่อนเกิด COVID-19) โดยปัจจัยหนุนมาจากทุกฟันเฟืองเศรษฐกิจ ทั้งการบริโภคหนุนจากมาตรการกระตุ้นการคลังรัฐ, การลงทุนเอกชนหนุนจาก Trade war, มาตรการดึงดูดการลงทุนของรัฐ การค้าระหว่างประเทศจากการค้าโลกที่เติบโต และข้อตกลงการค้า CPTPP, FTA) ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดทรงตัวต่ำที่ 0.5% ต่อเนื่องถึงปี 2566 ทำให้ภาวะ Search For Yields เป็นปัจจัยหนุน SET Index

เศรษฐกิจปี 2564  คาดขยายตัว 1.7%yoy (Consensus คาด 1.3-2.3%) แรงหนุนสำคัญมาจาก ภาคส่งออกที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก, การเร่งกระจายวัคซีน COVID-19 ตั้งแต่ มิ.ย.64 ไปถึงสิ้นปี, มาตรการกระตุ้นทางการคลัง ส่วนดอกเบี้ยนโยบายคาดทรงตัวต่ำ 0.5% จนถึงสิ้นปี

GDP 4Q63 -4.2%yoy ดีกว่าคาด ทำให้เศรฐกิจทั้งปี 2563 หดตัว -6.1%   ส่วนปี 2564 คาดกลับมาขยายตัว 2.6% จากฐานที่ต่ำ  โดยปัจจัยขับเคลื่อนมาจากการส่งออก, มาตรการกระตุ้นการบริโภค-การท่องเที่ยวของรัฐ และการลงทุนภาครัฐ  ส่วนอัตราดอกเบี้ยฯคาดจะยังทรงตัวต่ำ 0.5%

GDP 3Q63 -6.4%yoy ดีกว่าที่คาด (เฉลี่ย 3 ไตรมาส -6.8%) คาดงวด 4Q63 ฟื้นตัวต่อหนุนจากมาตรการกระตุ้นบริโภครัฐวงเงิน 1.9 แสนล้านบาท (ราว 1.8% ของ GDP) แต่อาจถูกกดดันหากการเมืองยืดเยื้อ โดยรวมปรับเพิ่ม GDP ปี 63 -6.5%yoy (เดิมคาด -7.9%) ปี 2564 คาดโต 4.1%

GDP 2Q63 -12.2%yoy ดีกว่าคาด ประเมินเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ โดย GDP 1H63 หดตัวเฉลี่ย 7%yoy ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ 3Q-4Q63 จะค่อยๆฟื้นตัว แต่ยังมีความเสี่ยงหากการเมืองยืดเยื้อ และ COVID-19 ระบาดรอบ 2 ทำให้คงคาดการณ์ GDP ปี 2563 -8.4%และปี 2564 ขยายตัว 4.1%

ปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยปี 2563 หดตัว 5.7%yoy จากเดิมคาดหดตัว 1.4% เพื่อสะท้อนผล COVID-19 ซึ่งกระทบฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกตัวมากกว่าคาด   โดยประเมินเศรษฐกิจไทยจะค่อยๆฟื้นตัวในช่วง 2H63 จากการทยอยเปิดธุรกิจ, มาตรการพยุงของรัฐผ่าน พ.ร.ก. 3 ฉบับ 1.9 ล้านล้านบาท, ดอกเบี้ยนโยบายที่ทรงตัวต่ำ 0.5%  ส่วนปี 2564 คาด GDP พลิกกลับมาขยายตัว 3.6%

GDP Growth ไทยปี 2563 ASPS ปรับลดเหลือ 1.6% จากเดิมคาด 2.8% สะท้อนผลกระทบจากไวรัส COVID-19 ที่ยังยืดเยื้อ, งบประมาณที่ล่าช้า ฯลฯ กระทบฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทุกตัว  คาดหลังจากงบประมาณปี 2563 ผ่านแล้ว และจะเบิกจ่ายเดือน เม.ย. เชื่อว่ารัฐเร่งกระตุ้นการลงทุน, การบริโภคและท่องเที่ยว และ คาด กนง.จะลดดอกเบี้ยฯลง 1 ครั้ง 0.25%อยู่ที่ 0.75%

แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2563 ยังเผชิญอุปสรรคจากส่งออกที่ยังคงได้รับผลกระทบจาก Trade war  แต่คาดหวังแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ, งบประมาณปี 2563 ที่เริ่มจะเบิกจ่าย เดือน ก.พ.63 และ กนง.ปรับลดดอกเบี้ยฯ 2 ครั้งๆละ 0.25% อยู่ที่ 1.25% จะเป็นแรงส่งหนุน GDP Growth ปี 2563 ขยายตัว 2.8% จาก 2.7% ในปี 2562

ASPS ยังคงประมาณการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2562 ที่ 2.7% ตามเดิม (GDP Growth 1H62 เฉลี่ยที่ 2.6%) คาด 2H62 ชะลอตัว จากส่งออกยังได้รับผลจากสงครามการค้า และการเบิกจ่ายงบรัฐงวด 4Q62 ล่าช้า การเติบโตจึงให้น้ำหนักไปที่มาตรการกระตุ้นบริโภคจากภาครัฐ และลงทุนภาคเอกชน และคาด กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง อยู่ที่ 1.25% ในช่วงที่เหลือของปีนี้

ASPS ได้ตัดลดประมาณการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2562 ลง 0.7% เหลือ 2.7% สะท้อนการส่งออกชะลอจากสงครามการค้าโลกที่ยืดเยื้อ และการเบิกจ่ายภาครัฐล่าช้า  การเติบโตจากนี้จึงให้น้ำหนักการลงทุนโดยรวม และการบริโภคครัวเรือน ขณะที่เงินเฟ้อยังมีแนวโน้มต่ำเฉลี่ย 1% ตลอดปีนี้ จึงน่าจะหนุนให้ กนง.คงดอกเบี้ยที่ 1.75% จนถึงสิ้นปีนี้

แรงส่งของเศรษฐกิจไทยปี 2562 มาจากการบริโภคเอกชนควบคู่กับการลงทุนเอกชนและรัฐ แม้ถูกหักล้างจากส่งออกที่ชะลอตัวจากสงครามการค้า และเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้ GDP Growth ชะลอตัวเหลือ 3.4% จาก 4.1%ในปี 2561 ขณะเงินเฟ้อต่ำโอกาส กนง.ขึ้นดอกเบี้ยน้อยลง 

ปรับลดอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2562 ลง 0.7% เหลือ 3.5% สะท้อนการส่งออกชะลอจากสงครามการค้าโลก  และคาดการลงทุนกับการบริโภคครัวเรือนจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนนับจากนี้ แต่เงินเฟ้อที่เริ่มขยับใกล้ดอกเบี้ยนโยบาย คาด กนง. จะต้องขึ้นดอกเบี้ยฯ ราว 0.25-0.5% ปี 2562

เศรษฐกิจไทยใน 2Q61 เติบโต 4.6% แม้ชะลอตัวจาก 1Q61 แต่ดีกว่าคาด โดยการขับเคลื่อนมาจากการบริโภคภาคครัวเรือนและส่งออกที่ดีกว่าคาด แต่คาดว่าผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐ-จีน จะกดดันภาคส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ถึงปี 2562  จึงคง GDP Growth ที่  4.4% ในปีนี้และปีหน้า และเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มขึ้นสูงกว่าดอกเบี้ยฯ เร่งให้ กนง. ขึ้นดอกเบี้ยปลายปีนี้

สงครามการค้าที่ขยายตัวรุนแรง  มิใช่แต่เพียงสหรัฐกับจีน  แต่ขยายไปสู่ ยุโรป, เม็กซิโก และแคนาดา  ซึ่งจะกระทบทั้งฝั่งผู้ผลิต และผู้บริโภค  ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโลก ซึ่งน่าจะค่อยๆ กระทบในช่วงที่เหลือของปีนี้ และชัดเจนขึ้นในปี  2562

GDP Growth 1Q61 โต 4.8% สูงสุดในรอบ 5 ปี และดีกว่าที่คาด  จากการบริโภคครัวเรือนและส่งออก ทำให้ปรับเพิ่มทั้งปี 2561 เติบโต 4.4% และทรงตัวในปี 2562 แต่เงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งในช่วง 2H61 ซึ่งทำให้ไทยเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาขึ้นปลายปีนี้  

เงินเฟ้อเดือน พ.ค. พุ่งขึ้นมากกว่าคาดอยู่ที่ 1.49% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งขึ้นแตะ 2% ในช่วง 2H61 กดดันให้ กนง. ขึ้นดอกเบี้ยฯ 0.25% ภายในปีนี้

GDP Growth ปี 2560 โต 3.9% ทำสถิติสูงสุดใน 5 ปี  จากภาคส่งออกที่สดใส และคาดเติบโต 4.2% ในปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากการลงทุนและการบริโภคในประเทศ ส่วนส่งออกมีอุปสรรคเพิ่มขึ้น ทั้งการกีดกันการค้าสหรัฐ และเงินบาทแข็ง  ขณะที่เงินเฟ้อต่ำ หนุนดอกเบี้ยฯ ต่ำใน 1H61

คาดเศรษฐกิจไทยในปี 2561 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 4% เร่งจาก 3.8% ในปีนี้ โดยมีแรงหนุนจาก ภาคส่งออก การลงทุน และการบริโภคครัวเรือน  ขณะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ ดอกเบี้ยนโยบายจึงน่าจะคง 1.5% จนถึงกลางปีหน้า

แม้เห็นสัญญานการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในงวด 1Q60 แต่ทั้งปี 2560 ที่ประเมินไว้ 3.5% อาจเป็นไปได้ยาก หากการลงทุนภาคเอกชน และส่งออกยังฟื้นตัวน้อยกว่าคาด  ขณะที่อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงทำให้ กนง. ยังคงยืนดอกเบี้ย 1.5% ตลอดปี 2560    

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในงวด 2H59 ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากงวด 1H59 ผ่านการบริโภคภาคครัวเรือน การใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ ทำให้ GDP Growth โดยรวมในปี 2559 ยังคงอยู่ที่ 3.5%

ผลสำรวจ Brexit ยังสวิงสูง จึงกระะทบต่อความเชื่อมั่นตลาดเงินในวงกว้าง  เพราะเชื่อว่าอังกฤษอาจได้รับผลกระทบมากสุดในเรื่องการค้าและการลงทุน รวมถึงค่าเงิน  หากต้องออกจากสหภาพยุโรป ระยะสั้นอังกฤษ ตัองเผชิญกับการอ่อนค่าของเงินปอนด์

แม้เศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงอยู่ แต่คาดว่าแรงขับเคลื่อนของรัฐจะหนุนให้เศรษฐกิจปี 2559 ฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2558  แต่ด้วยเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ กนง. ยังคงดอกเบี้ยนโยบายระดับต่ำต่อเนื่องตลอดปี 2559